วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

การเตรียมบ่อก่อนลงปลา


วิธีการก่อนลงปลาดุก
1. การกางมุ้งล้อมรอบบ่อเพื่อที่จวิธีการก่อนลงปลาดุกะป้องกันสิ่งอันตรายจากภายนอก เช่น ไม่ให้สัตว์ต่างๆเข้าไปในบ่อได้เพราะอาจจะทำให้ปลานั้นตื่นและไม่กินอาหาร
2. การนำตาข่ายกางไว้เหนือบ่อให้สูงเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้นกมากินลูกปลาที่อยู่ในบ่อโดยนำไม้มายันไว้กลางบ่อ




อุปกรณ์กันนกระสา


วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

การเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเม็นต์


การเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์
1.สามารถเลี้ยงได้ในบริเวณรอบบ้านพักดูแลได้สะดวก จับบริโภคหรือขายได้ง่าย
 2.เลี้ยงได้จำนวนมากใช้พื้นที่เลี้ยงน้อยระยะเวลาของการเลี้ยงสั้น รุ่นละ 60 - 90 วัน
3.ปลาดุกเป็นปลาที่มีความอดทนมาก ตายยากสามารถทนต่อสภาวะน้ำเสียได้สูง 
4.น้ำทิ้งจากบ่อปลาดุก มีอินทรีย์สารมากเป็นปุ๋ยน้ำใช้รดพืชผัก ต้นไม้ได้เป็นอย่างดี
การเลือกสถานที่สร้างบ่อควรอยู่ใกล้บ้าน และมีที่ร่มเพียงพอ เพราะปลาดุก ไม่ชอบแสงสว่างมากควรมีแหล่งน้ำที่
สะดวกสำหรับการเปลี่ยนถ่ายเทน้ำ
การสร้างบ่อ
เตรียมพื้นที่ราบเรียบ พื้นดินที่ต้องอัดแน่นเพื่อสร้างบ่อซีเมนต์อิฐบล๊อคขนาดกว้าง 2 เมตร ยาว 3 เมตร สูง 0.6 เมตรโดยการเทพื้นซีเมนต์ มีโครงไม้ไผ่ช่วยยึดเกาะเนื้อปูนซีเมนต์ไม่ให้แตกร้าวง่าย และก่ออิฐบล๊อคขึ้นสูง 3 ก้อนโดยรอบ เป็นรูปทรงบ่อสี่เหลี่ยม ตามขนาดที่ได้กำหนดไว้ จะได้บ่อขนาดพื้นที่ 6 ตารางเมตร จุน้ำลึก 60 เซนติเมตร (ราคาวัสดุต่อบ่อไม่คิดค่าแรง ประมาณ 2,500 บาทได้แก่ อิฐบล๊อค 80 ก้อน, ปูน 6 ถุง, ทราย 2 คิว, หินเบอร์ 3/4 1 คิวกางตาข่ายพรางแสง สูงขึ้นไปจากบ่อประมาณ 1-1.5 เมตร เพื่อสร้างร่มเงาให้กับบ่อปลาดุกปล่อยน้ำเข้าบ่อให้มีระดับความลึก 50 เซนติเมตร อาจใช้สารจุลินทรีย์ (อีเอ็ม) 2 ช้อนชา กับน้ำตาลทราย 2 ช้อนชา ผสมกับน้ำ 1 ปี๊บ สาดลงไปที่บ่อ เพื่อให้เกิดน้ำเขียว เป็นอาหารลูกปลา และช่วยไม่ให้น้ำขุ่นเร็ว




อัตราปล่อยปลา
ปลาดุกที่เริ่มเลี้ยงควรมีขนาดความยาว 5 - 10 ซ.ม. (ราคาตัวละประมาณ 1 บาท) อัตราการปล่อยลงเลี้ยง 60 ตัว ต่อตารางเมตร หรือ 360 ตัว ต่อบ่อซีเมนต์อิฐบล็อก ขนาดพื้นที่ 6ตารางเมตรแช่ถุงปลาดุกไว้ในบ่อเลี้ยง 30 นาทีแล้วจึงค่อยๆปล่อยปลาลงบ่อ เพื่อป้องกันลูกปลาช็อคตายปลาดุกที่เริ่มต้นเลี้ยงควรมีขนาดขนาด 5 - 10 เซนติเมตร ซึ่งจะใช้ระยะเวลาในการเลี้ยงประมาณ 60 - 90 วัน/รุ่นควรมีวัสดุ เช่น อิฐบล็อก หรือยางรถยนต์ใส่ในบ่อให้ปลาดุกหลบซ่อน เพราะเลี้ยงไประยะเวลาหนึ่ง ปลาจะโตไม่เท่ากัน เนื่องจากปลาตัวใหญ่จะรบกวนตัวเล็ก




อาหารและการให้อาหาร
1. อาหารเม็ดสำเร็จรูปลอยน้ำ - ปลาดุกขนาดความยาว 5 - 7 เซนติเมตรให้อาหารปลาดุกรุ่นอายุ 1 เดือน - ปลาดุกขนาดความยาว 7 เซนติเมตรขึ้นไปให้อาหารปลาดุกรุ่นอายุ 2 เดือน การให้อาหารเม็ดสำเร็จรูปลอยน้ำ ให้วันละ 2 ครั้ง เช้า เย็น ให้ครั้งละน้อยๆ แต่พออิ่ม2. อาหารผสมเองใช้กระดูก โครงไก่ ไส้ไก่ เศษเนื้อบดละเอียดหรือปลาป่น ผสมรำละเอียดในอัตรา 9 : 1 โดยน้ำหนัก ปั้นเป็นก้อนขนาดกำมือปั้นให้กินทุกวัน อาหารสดเสริม เช่น เศษปลา ปลวก แมลงขนาดเล็ก มด ไส้เดือน หอยเชอรี่ ต้มสุก เป็นต้นการให้อาหารผสมเองที่ปั้นเป็นก้อนให้อาหารในกระบะมี ขอบ ให้ขอบจากระดับผิวน้ำประมาณ 20 ซ.ม. ให้วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ให้ครั้งละน้อยๆ พออิ่ม
 การถ่ายเทน้ำ
ควรถ่ายเทน้ำทุก 15 วัน หรือเวลาที่น้ำเลี้ยงปลามีกลิ่นเหม็น ควรดูดน้ำจากก้นบ่อ ออกประมาณ 1 ใน 3 ของระดับน้ำในบ่อ (ประมาณ 20 เซนติเมตร)ขณะถ่ายน้ำ ไม่ควรรบกวนให้ปลาดุกตกใจ ถ้าปลาดุกเกิดอาการตกใจ จะหยุดกินอาหาร
หลายวันน้ำในบ่อปลาดุกที่ถ่ายทิ้งมีอินทรีย์สารมาก เป็นปุ๋ยน้ำ นำไปรดพืชผักสวนครัวได้ดีระยะเวลาในการเลี้ยงและผลผลิตปลาดุกที่เริ่มเลี้ยงขนาดความยาว 5 - 10 เซนติเมตรปล่อยเลี้ยง 360 ตัว/บ่อ ใช้ระยะเวลาในการเลี้ยง 60 - 90 วันผลผลิตจากการเลี้ยง ประมาณ 40 - 60 กิโลกรัม ต่อรุ่นต่อบ่อขนาด 6 ตารางเมตร (ขนาดปลาดุก 7 - 10 ตัว/กิโลกรัม) คิดเป็นมูลค่าปลาดุก 1,600 - 2,400 บาท ต่อรุ่น ต่อบ่อขนาด 6 ตารางเมตร (ปลาดุกกิโลกรัมละ 40 บาท)
ข้อควรระวัง
1. ไม่ให้อาหารปลาดุกในปริมาณมากจนเกินไป 2. รักษาคุณภาพน้ำให้เหมาะสมอยู่เสมอ 3. ถ่ายเทน้ำในบ่อเลี้ยงปลาบ่อย ๆโรคปลาดุกและการป้องกันรักษาโรคกะโหลกร้าว แก้ไขโดยใช้วิตามินซี 1 กรัม ผสมในอาหาร 1 กิโลกรัมให้ปลาดุกกินติดต่อกันนาน 15 วัน

โรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียและบาดแผลข้างลำตัว ใช้ยาปฎิชีวนะ เช่นยาอ๊อกซี่เตทตราซัยคลิน 1 แคปซูล ผสมในอาหาร 1 กิโลกรัม ให้ปลากินติดต่อกันนาน 7 - 10 วัน
หากมีปลาตาย และมีบาดแผลตามลำตัว ให้ตักปลาตายออกแล้วนำไปทำลายโดยการเผาหรือฝังและรีบถ่ายเทน้ำในบ่อออกประมาณครึ่งบ่อ (ถ่ายน้ำออกในระดับลึก 30 เซนติเมตร)











วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2558

พันธุ์ปลาดุก


พันธ์ปลาดุก

      ในประเทศไทยมีพันธุ์ปลาจำพวกปลาดุกอยู่หลายพันธุ์ แต่ที่รู้จักและนิยมบริโภคกันมากมีอยู่ 4 พันธุ์ คือ ปลาดุกด้าน ปลาดุกอุย  ปลาดุกบิ๊กอุย และปลาดุกเทศ  ปลาดุกยักษ์หรือปลาดุกรัสเซีย
 

         ปลาดุกด้าน  มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Clarias batrachus มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น ดุกเลา ดุกเอ็น ดุกเผือก พบทั่วไปทุกภาคของประเทศไทย เป็นปลาไม่มีเกล็ด ไม่มีครีบไขมัน ฐานของครีบหลังยาวเกือบตลอด ส่วนหลังมีครีบหลังครีบก้นและครีบหางแยกออกจากกัน ที่ครีบหลังไม่มีก้านครีบแข็ง แต่มีครีบอ่อนจำนวนมาก มีพุ่มดอกไม้อยู่ในโพรงกะโหลก ส่วนหัวเหนือช่องเหงือกทั้งสองเพื่อช่วยในการหายใจ และที่ครีบอกมีก้านครีบ( เงี่ยง ) แข็งข้างละ 1 อัน ลักษณะกลมใหญ่ปลายแหลมเป็นหยักทั้งสองข้าง ลำต้นมีสีเทาปนดำหรือน้ำตาลปนดำ บริเวณท้องมีสีค่อนข้างขาว ปลาดุกด้านเป็นปลาที่มี นิสัยดุ ว่องไว ไม่ชอบอยู่นิ่ง ชอบดำผุดดำว่าย และชอบแซกมุดไปตามพื้นโคลนตม เป็นปลาที่มีความอดทนต่อสิ่งแวดล้อมที่เลวได้ดี สามารถเลี้ยงรวมกันได้เป็นจำนวนมาก เลี้ยงง่าย โตเร็ว อาศัยอยู่ได้ทั้งในน้ำไหลและน้ำนิ่ง

          ปลาดุกบิ๊กอุยหรือปลาดุกอุยเทศ เป็นปลาดุกลูกผสม เกิดจากการผสมเทียมข้ามพันธุ์ระหว่างพ่อพันธุ์ปลาดุกยักษ์กับแม่พันธุ์ปลาดุกอุยลักษณะนิสัยจึงอยู่กลางระหว่างปลาดุกสองพันธุ์นี้  ซึ่งมีลักษณะภายนอก และนิสัยการกินอาหารคล้ายปลาดุกอุยมาก มีผิวค่อนข้างเหลือง โดยเฉพาะลำตัวและหางเห็นรอยจุดประสีขาวของปลาดุกอุยชัดเจนมาก  แต่เมื่อโตขึ้นจุดประนี้จะหายไป  ส่วนกะโหลกท้ายทอยจะแหลมเป็นหยัก 3 หยักเช่นเดียวกับปลาดุกยักษ์ หัวมีขนาดใหญ่ และคอดหางมีจุดประสีขาวเรียงตามขวางในระยะที่ปลายังเล็ก เป็นปลาที่เลี้ยงง่าย ทนทานต่อโรคพยาธิและสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดีเช่นเดียวกับปลาดุกยักษ์ แต่มีเนื้อคล้าย ปลาดุกอุย คือ เนื้ออกสีเหลือง นุ่ม รสชาติอร่อย กินอาหารได้แทบทุกชนิด เลี้ยงได้น้ำหนักมากในระยะเวลาสั้น ทำให้เลี้ยงได้หลายรุ่นในรอบปี มีอัตราการเจริญเติบโตที่รวดเร็วมาก ในช่วงระยะเวลาการเลี้ยงประมาณ 60 วันจะประมาณ 200-300 กรัมต่อตัว หรือขนาด 4 - 5 ตัว ต่อกิโลกรัม



        ปลาดุกอุย  มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Clarias macrocephalus เป็นปลาที่ไม่มีเกล็ด ลำตัวยาวเรียว พบได้ตามแหล่งน้ำจืดทั่วไปๆ สีของลำตัวค่อนข้างเหลือง มีจุดประตามด้านข้างของลำตัวประมาณ  9-10 แถบ แต่เมื่อโตขึ้นจะเลือนหายไป ผนังท้องมีสีขาวถึงเหลืองเฉพาะบริเวณอกถึงครีบท้อง ส่วนหัวค่อนข้างทู่ ส่วนปลายกระดูกท้ายทอยป้านและโค้งมนมาก กะโหลกจะลื่นมีรบุ๋มตรงกลางเล็กน้อย มีหนวด 4 คู่ โคนหนวดเล็ก ปากไม่ป้านค่อนข้างมน ครีบอกมีครีบแข็งข้างละ 1 ก้าน (เงี่ยง) มีลักษณะแหลมคมยื่นยาวเกินหรือเท่ากับครีบอ่อน ครีบหลังมีก้านครีบอ่อน 47-52 ก้าน ครีบหางกลมไม่ใหญ่มากนัก มีสีเทาปนดำ ครีหางไม่ติดกับฐานครีบหลังและครีบก้าน ระยะจากปลายกระดูกท้ายทอยถึงจุดเริ่มต้นของครีบหลังประมาณ1 ใน 5 จากความยาวจากปลายสุดถึงปลายกระดูกท้ายทอย จำนวนกระดูกซี่กรองเหงือกประมาณ 32 ซี่ เนื้อมีสีเหลืองนุ่มมันมากปลาดุกอุยที่อยู่ตามแหล่งน้ำธรรมชาติ มีนิสัยชอบหาอาหารตามหน้าดิน โดยใช้หนวดที่รับรู้ความรู้สึกได้ดีในการหาอาหารตามพื้นผิวหน้าดิน  ปลาดุกอุยเป็นปลาที่ปราดเปรียวเคลื่อนไหวว่องไวมาก ชอบกินอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ แต่เมื่อนำมาเลี้ยงในบ่อก็สามารถฝึกให้กินอาหารสำเร็จรูปที่มีผสมของ รำข้าว ปลายข้าว กากถั่ว และปลายข้าวได้ ทั้งยังฝึกให้ขึ้นมากินอาหารบริเวณใกล้ผิวน้ำได้ด้วย

T09015~1
การเตรียมพันธ์ปลา 
ควรเลือกลูกปลาทีมาจากแหล่งที่มีความน่าเชื่อถือ เป็นอันดับแรก ส่วนการดูลูกปลานั้นให้เลือกที่มีความแข็งแรง วายน้ำได้เร็ว ลำตัว หน่วด ครีบ หาง สมบูรณ์ ไม่ว่ายน้ำหงายท้องหรือ ตั้งฉากกับน้ำก่อนการปล่อยลูกปลาลงสู่บ่อควรเอาถุงปลาแช่น้ำในบ่ 10-15 นาทีเพื่อเป็นการปรับอุณหภูมิให้เเท่ากัน ป้องกันการช็อคน้ำของลูกปลา ขนาดลูกลูกปลาที่จะปล่อยควรมีขนาดเท่ากับนิ้วมือ จะเพิ่มอัตราการรอดให้มากยิ่งขึ้นครับ ปริมาณที่เหมาะสมในการเลี้ยงปลาอยู่ที่ 80,000-100,000 ตัวต่อไร่


วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558

วิธีการเลี้ยงปลาดุก



การเตรียมบ่อดินเลี้ยงปลาดุก

เตรียมบ่อ บ่อดิน
    

 - เริ่มต้นจากการตากบ่อ จะต้องตากบ่อให้แห้ง ปรับสภาพพื้นบ่อให้สะอาด
     - ใส่ปูนขาว เพื่อปรับสภาพของดินโดยใส่ปูนขาวหรือโดโลไมท์ในอัตราส่วน 60-100 กิโลกรัมต่อไร่
     - ใส่เกลือโลยให้ทั่วบ่อและใส่โปยลงไปในบ่อด้วยเพื่อที่จะปรับสภาพน้าไม่ให้ดำและมีอุณภมิให้ปลาหายใจได้ดี
     - ระบายน้ำเข้าบ่อโดยกรองไม่ให้ศัตรูของลูกปลาติดเข้ามากับน้ำให้ระดับน้ำลึก 30-40 เซนติเมตร หลังจากนั้นวันรุ่งขึ้นจึงปล่อยปลา และเพื่อให้ลูกปลามีอาหารกิน ควรเติมไรแดงในอัตราไร่ละประมาณ 5 กิโลกรัม เพื่อเป็นอาหารแก่ลูกปลาหลังจากนั้น จึงให้อาหารผสมแก่ลูกปลา ลูกปลาที่นำมาเลี้ยงควรดูว่ามีสภาพแข็งแรง การปล่อยลูกปลาลงบ่อเลี้ยงจะต้องปรับสภาพอุณหภูมิของน้ำในถุงและน้ำในบ่อเท่าๆกันก่อน วิธีการคือแช่ถุงบรรจุลูกปลาในน้ำประมาณ 20 นาที จึงปล่อยลูกปลา เวลาที่เหมาะสมในการปล่อยลูกปลาควรเป็นตอนเช้าหรือตอนเย็นก็ได้ ปลาดุกเล็ก
       - ใส่ปุ๋ยคอก ใช้ขี้วัวหรือขี้ไก่ก็ได้ เพื่อให้เกิดไรแดง อาหารตามธรรมชาติสำหรับลูกปลาในอัตราประมาณ 40-80 กิโลกรัมต่อ 1 ไร่
การเลือกสถานที่เลี้ยงปลาดุก
1. สถานที่ไม่เป็นที่ลุ่มหรือที่ดอนเกินไป สามารถจัดระบบน้ำระบายน้ำเข้า-ออกได้ดี
2. สภาพดินควรเป็นดินเหนียวสามารถทำเป็นคันบ่อเก็บกักน้ำได้ดี
3. สภาพน้ำต้องเป็นน้ำสะอาดปราศจากสารพิษของโลหะหนักหรือยาฆ่าแมลง หรือของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม

4. ทางคมนาคมสะดวก




จำนวนปลาและการใช้พื้นที่ในการลี้ยง
           1. จำนวนปลา 20,000  ใช้พื้นที่ในการลี้ยงประมาณ 1ไร่ ความกว้าง 30เมตร ความยาว  30เมตร ความลึก 2 เมตร
-                 2. จำนวนปลา 15,000  ตัว ใช้พื้นที่ในการเลี้ยงประมาณความกว้าง 15 ความยาว 20 เมตร ความลึกเมตรครึ่ง

                                               
                                                  การให้อาหารปลาในแต่ละช่วง
ให้อาหารปลา

         ช่วงแรกคือการให้อาหารเม็ดเมื่อปล่อยลูกปลาดุกบิ๊กอุยลงในบ่อดินแล้ว อาหารที่ให้ในช่วงที่ลูกปลาดุกมีขนาดเล็ก(2-3 เซนติเมตร) ควรให้อาหารผสมคลุกน้ำปั้นเป็นก้อนให้ลูกปลากินโดยให้กินวันละ 2 ครั้ง หว่านให้กินทั่วบ่อโดยเฉพาะในบริเวณขอบบ่อ เมื่อลูกปลามีขนาดโตขึ้น จนมีขนาดความยาวประมาณ 5-7 เซนติเมตร ขึ้นไปจะให้อาหารเม็ดเพียงอย่างเดียว ช ช่วงที่สอง คืออาหารเสริมชนิดต่างๆได้ เช่นโครงกระดูกไก่ ไส้ไก่ เศษขนมปังทุกชนิดเนื้อ เศษเส้นก๋วยเตี๋ยว หรือเศษอาหารต่างๆเท่าที่สามารถหาได้นำมาบดรวมกัน แล้วผสมให้ปลากิน แต่การให้อาหารปลาประเภทนี้จะต้องระวังเรื่องคุณภาพของบ่อดินที่เลี้ยงด้วย เมื่อเลี้ยงปลาได้ประมาณ 3-4 เดือน ปลาจะมีขนาด 250-500 กรัมต่อตัว ซึ่งผลผลิตที่ได้จะประมาณ 10-14 ตันต่อไร่ อัตรารอดตายประมาณ 60-70 เปอร์เซ็นต์
    ช่วงที่สาม คือการบดอาหารโครงไก่ส่วนผสมที่สําคัญก็จะมีขนมปัง รําข้าว มันไก่หรือมันเนื้อ เกลือ 
อุปกรณ์ในการบดอาหารโครงไก่
- เครื่องบดโครง
-  กระป๋องไว้สําหรับใส่โครงที่บดไว้แล้ว
-  รถเข็นสําหรับขนส่งหรือซาเล็ง
ปริมาณในการบด
-  ในช่วงที่ปลาได้ 1เดือนปริมาณในการบดอาหารให้ได้ 2 กระป๋อง 40 โหล โดยแบ่งเป็นโครงไก่ 20โหล ขนมปัง 15 โหล เกลือ 2-3 โหล
-   ในช่วงที่ปลาได้ 2 เดือนปริมาณในการบดอาหารให้ได้ 4 กระป๋อง 50 โหล โดยแบ่งเป็นโครงไก่ 30 โหล ขนมปัง 20 โหล
-   ในช่วงที่ปลาได้ 3 เดือนปริมาณในการบดอาหารให้ได้ 6 กระป๋อง  70 โหล โดยแบ่งเป็นโครงไก่ 40 โหล ขนมปัง 30 โหล
-    ในช่วงที่ปลาได้ 4 เดือนปริมาณในการบดอาหารให้ได้ 7 กระป๋อง 100 โหล โดยแบ่งเป็นโครงไก่ 60 โหล ขนมปัง 35 โหล
-   ในช่วงที่ปลาได้ 5 เดือนปริมาณในการบดอาหารให้ได้ 9 กระป๋อง 120 โหล โดยแบ่งเป็นโคงไก่ 80 โหล ขนมปัง 40 โหล  
ขั้นตอนในการเลี้ยง

-อัตราปล่อยปลาดุกบิ๊กอุย ลูกปลาขนาด 2-3 เซนติเมตร ควรปล่อยในอัตราประมาณ 40-100 ตัวต่อตารางเมตร ซึ่งขึ้นอยู่กับกรรมวิธีในการเลี้ยง คือชนิดของอาหารขนาดของบ่อและระบบการเปลี่ยนถ่ายน้ำปกติทั่วไป อัตราปล่อยเลี้ยงประมาณ 50 ตัวต่อตารางเมตร และเพื่อป้องกันโรคซึ่งอาจจะติดมากับลูกปลาใช้น้ำยาฟอร์มาลินใส่ในบ่อเลี้ยง อัตราความเข้มข้นประมาณ 30 ส่วนในล้านส่วน (3 ลิตรต่อน้ำ 100 ตัน) ในวันเดียวที่ปล่อยลูกปลาไม่จำเป็นต้องให้อาหารควรเริ่มให้อาหารในวันรุ่งขึ้น
การถ่ายเทน้ำ
   เมื่อตอนเริ่มเลี้ยงใหม่ๆ ระดับความลึกของน้ำในบ่อควรมีค่าประมาณ 30-40 เซนติเมตร เมื่อลูกปลาเจริญเติบโตขึ้นในเดือนแรกจึงเพิ่มระดับน้ำสูงเป็นประมาณ 50-60 เซนติเมตร หลังจากย่างเข้าเดือนที่สอง ควรเพิ่มระดับให้สูงขึ้น 10 เซนติเมตรต่ออาทิตย์ จนระดับน้ำในบ่อมีความลึก1.20-1.50 เมตร การถ่ายเทน้ำควรเริ่มตั้งแต่การเลี้ยงผ่านไปประมาณ 1 เดือน โดยถ่ายน้ำประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ ของน้ำในบ่อ 3 วันต่อครั้ง หรือถ้าน้ำในบ่อเริ่มเสียจะต้องถ่ายน้ำมากกว่าปกติ
บ่อปลาดุก
 โรคของปลาดุกเลี้ยง
ในกรณีที่มีการป้องกันอย่างดีแล้วแต่ปลาก็ยังป่วยเป็นโรค ซึ่งมักจะแสดงอาการให้เห็น โดยแบ่งอาการของโรคเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้
1. อาการ ติดเชื้อจากแบคทีเรีย จะมีการตกเลือดมีแผลตามลำตัวและครีบ ครีบกร่อน ตาขุ่น หนวดหงิกกกหูบวม มีน้ำในช่องท้อง กินอาหารน้อยลง หรือไม่กินอาหาร ลอยตัว
2. อาการจากปรสิตเข้าเกาะตัวปลาจะมีเมือกมาก มีแผลตามลำตัว ตกเลือด ครีบเปื่อย จุดสีขาวตามลำตัว สีตามลำตัวซีดหรือเข้มผิดปกติเหงือกซีดว่ายน้ำทุรนทุราย ควงสว่านหรือไม่ตรงทิศทาง
3. อาการจากอาหารมีคุณภาพไม่เหมาะสม คือ ขาดวิตามินซี กระโหลกร้าว บริเวณใต้คางจะมีการตกเลือด ตัวคด กินอาหารน้อยลง ถ้าขาดวิตามินบีปลาจะว่ายน้ำตัวเกร็งและชักกระตุก
4. อาการจากคุณภาพน้ำในบ่อดิน ไม่ดี ปลาจะว่ายน้ำขึ้นลงเร็วกว่าปกติลอยหัวครีบกร่อนเปื่อยหนวดหงิก เหงือกซีดและบวม ลำตัวซีด ไม่กินอาหาร ท้องบวม มีแผลตามตัวอนึ่ง ในการรักษาโรคปลาควรจะได้พิจารณาให้รอบคอบก่อนการตัดสินในการเลือกใช้ยาหรือสารเคมี สาเหตุของโรค ระยะรักษา ค่าใช้จ่ายในการรักษา
5.การป้องกันโรคการเกิดโรคของปลาดุกที่เลี้ยงมักเกิดจากปัญหาคุณภาพของน้ำที่เลี้ยงไม่ดี ซึ่งอาจเกิดจากการที่เราให้อาหารมากจนเกินไปจนเกินอาหารเหลือ และทำให้เน่าเสีย เราสามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคได้โดยต้องหมั่นสังเกตว่า เมื่อปลาหยุดกินอาหารจะต้องหยุดให้อาหารทันที เพราะเท่าที่สังเกตจะพบว่า ปลาดุกบิ๊กอุยมีนิสัยชอบกินอาหารที่ใหม่ แม้จะกินอิ่มแล้วถ้าให้อาหารใหม่อีกจะก็จะคายหรือสำรอกอาหารเก่าทิ้งและกินอาหารที่ให้ใหม่อีก ซึ่งปริมาณอาหารที่ให้ไม่ควรเกิน ร้อยละ 5 ของน้ำหนักตัวปลายารักษาโรคสำหรับปลาที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน คือ ไซฟล็อกซีน 20 ใช้สำหรับป้องกันและรักษาโรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร สัตว์น้ำใช้ 3 กรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม ผสมกันให้กินวันละ 2-3 มื้อ ติดต่อกัน 5 วัน
 วิธีป้องกันการเกิดโรคในปลาดุกที่เลี้ยง
1.ควรเตรียมบ่อและน้ำตามวิธีการที่เหมาะสมก่อนปล่อยลูกปลา
2. ซื้อพันธุ์ปลาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ว่าแข็งแรงและปราศจากโรค
3. หมั่นตรวจดูอาการของปลาอย่างสม่ำเสมอถ้าเห็นอาการผิดปกติต้องรีบหาสาเหตุและแก้ไขโดยเร็ว
4. หลังจากปล่อยหลาเลี้ยงแล้ว 3 - 4 วัน ควรสาดน้ำยาฟอร์มาลิน 2 - 3 ลิตร/ปริมาตรน้ำ 100 ตันและหากปลาที่เลี้ยงเกิดโรคพยาธิภายนอกให้ แก้ไขโดยสาดน้ำยาฟอร์มาลินในอัตรา 4 - 5ลิตร/ปริมาตร น้ำ 100 ตัน
5. เปลี่ยนถ่ายน้ำจากระดับก้นบ่ออย่างสม่ำเสมอ
6. อย่าให้อาหารจนเหลือ
ข้อแนะนำ  ควรมีการทำร่มเงาให้เป็นที่พักจากความร้อนของลูกปลา เพื่อลดการตายของลูกปลาจากความร้อนครับ
2012_01_29_150649_3_ELrCckCa





การเลือกอาหารปลา
ถือเป็นเรื่องที่สำคัญลำดับต้นๆ ของการเลี้ยงปลาดุก เพราะต้นทุนกว่า 80% ของการเลี้ยงปลาดุกอยู่ที่อาหารครับ เราจึงต้องพิถีพิถันในการเลือกอาหารปลาให้มาก ไม่ว่าจะเป็นสีสัน กลิ่น ขนาดของเม็ด การลอยตัวในน้ำ ล้วนต้องเอาใจใส่มากๆเลย
1. เลือกอาหารให้เหมาะกับอายุของปลาด้วย หากเลือกไม่เหมาะสม จะทำให้ปลากินอาหารไม่ได้ หรือ การให้อาหารไม่เพียงพอครับ
- ลูกปลาดุกขนาด 1-4 เซ็นติเมตร เลือกใช้อาหารปลาดุกขนาดเล็กพิเศษ
- ลูกปลาดุกขนาด 3 เซ็นติเมตร เลือกใช้อาหารสำหรับปลาดุก 1-3 เดือน
2. ขนาดของเม็ดต้องใกล้เคียงกัน ไม่มีกลิ่นหืน  ไม่เป็นฝุ่น
3. การลอยตัวในน้ำ ไม่ควรจมลมเร็วเกินไปครับ เพราะนั่นหมายถึงอาหารปลาอาจจะมีความชื้นมากเกินไป
4. ระวังอาหารปลาที่ขึ้นราด้วยนะครับ เพราะจะเป็นสาเหตุให้ลูกปลาตายได้จำนวนมากครับ
ข้อแนะนำ ก่อนการเริ่มปล่อยปลาลงสู่บ่อ ควรมีการวัดอัตราการกินอาหารของลูกปลา เพื่อไม่ให้อาหารมากหรือน้อยเกินไป ซึ่งจะทำให้ผลกำไรน้อยลงครับ
การนำปลาดุกที่เลี้ยงไปขายในตลาด

        ปลาดุกเป็นปลาเศรษฐกิจที่เป็นที่นิยมเพาะเลี้ยงอย่างต่อเนื่องมาตลอด ทั้งในแง่ของปลาเนื้อและปลาแปรรูป ในปัจจุบันมีผู้ที่ทำการเลี้ยงปลาดุกมากขึ้น ทำให้ต้นทุนการเลี้ยงไม่สูงมากนัก และทำให้มีปลาเข้าตลาดได้อยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังได้ปลาที่ดี มีรสชาติอร่อย ขนาดของปลาได้มาตรฐาน ทำให้ผู้บริโภคซื้อปลาที่ราคาไม่แพง แนวโน้มตลาดทิศทางของการเพาะเลี้ยงปลาดุกจึงเป็นไปอย่างสวยงาม

            เมื่อทำการเลี้ยงปลาดุกไปแล้วประมาณ 5 เดือน ก็ถึงเวลาจับปลาขาย ปลาตามท้องตลาดจะเรียกชื่อแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับขนาด ส่วนมากจะนิยมเรียกตามขนาดอยู่ 3 ประเภท คือ ปลาขนาด 3-5 ตัวต่อกิโลกรัมจะเรียกกันว่าปลาย่าง (เป็นขนาดปลาที่ลูกค้าต้องการมากที่สุด) ปลาขนาด 2 ตัวต่อกิโลกรัม จะเรียกว่าปลาโบ้ แต่ไม่เป็นที่นิยมมากเท่าไร เพราะมีขนาดใหญ่เกินความต้องการ และขนาดครึ่งกิโลกรัมขึ้นไปจะเรียกปลาหั่น ซึ่งราคาปลาไม่มีผู้ใดกำหนดจะเป็นไปตามกลไกตลาด ขึ้นอยู่กับมีผลผลิตในตลาดมากหรือน้อย ถ้าปลาในตลาดมีมากราคาก็จะต่ำ แต่ถ้าปลาในตลาดมีน้อยราคาก็จะสูง และที่สำคัญที่สุดคือความต้องการของผู้บริโภค ว่ามีมากหรือน้อยเพียงใดด้วย แต่ปัจจุบันมีผู้นิยมบริโภคปลาดุกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


เทคนิคการเตรียมจับปลาดุกขาย   ให้ได้ราคาและกำจัดกลิ่นคาวปลา งดให้อาหาร 3 วัน ก่อนทำการจับปลา จากนั้นลดน้ำในบ่อให้เหลือประมาณ 80 - 90 เซนติเมตร ก่อนจับปลา 2 วัน แล้วใช้เกลือหว่านลงไปในบ่อ บ่อพื้นที่ 1 ไร่ ใช้เกลือ 30 กิโลกรัม โดยหว่านก่อนจับปลา 1วันความเค็มของเกลือ จะช่วยลดกลิ่นเหม็นคาวจากอาหาร และโคลนจากบ่อ ที่สำคัญจะทำให้ปลามีน้ำหนักดี ตัวแน่น หนังไม่ย่น และขายได้ราคาดี
การตลาด
                  การตลาด เป็นปัญหาใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อการเลี้ยงปลามากที่สุด ตลาดปลาดุกนั้นเป็นในลักษณะที่มีคนกลางเป็นผู้ตระเวนจับปลาโดยตรงจากบ่อ เลี้ยงแล้วนำไปส่งพ่อค้าขายปลีดตามที่ต่างๆ ตลาดใหญ่จะอยู่ที่จังหวัดอ่างทอง อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา กรุงเทพฯ ภาคอีสาน ภาคเหนือ ผู้จับปลามี บทบาทค่อนข้างสูงในการกำหนดราคาปลาร่วมกับความต้องการของตลาด ราคาปลาดุกเปลี่ยนแปลงค่อนข้างรวดเร็ว ขึ้นกับปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาดและฤดู กาล โดยทั่วไปพบว่าช่วงเดือนกุมภาพันธ์ -เดือนเมษายน ราคาปลาดุกมักจะราคาถูกเนื่องจากมีปลาธรรมชาติออกสู่ตลาดมาก การเพิ่มปริมาณและมูลค่าก็คือการ ขยายตลาดต่างประเทศ การถนอมและแปรรูปในลักษณะผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ซึ่งเป็นการกระจายผลผลิตอีกทางหนึ่ง


วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558