![]() |
วิธีการก่อนลงปลาดุก 1. การกางมุ้งล้อมรอบบ่อเพื่อที่จวิธีการก่อนลงปลาดุกะป้องกันสิ่งอันตรายจากภายนอก เช่น ไม่ให้สัตว์ต่างๆเข้าไปในบ่อได้เพราะอาจจะทำให้ปลานั้นตื่นและไม่กินอาหาร
2. การนำตาข่ายกางไว้เหนือบ่อให้สูงเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้นกมากินลูกปลาที่อยู่ในบ่อโดยนำไม้มายันไว้กลางบ่อ
![]()
อุปกรณ์กันนกระสา
|
Laddawan mahamad
วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
การเตรียมบ่อก่อนลงปลา
วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
การเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเม็นต์
วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2558
พันธุ์ปลาดุก
พันธ์ปลาดุก
ในประเทศไทยมีพันธุ์ปลาจำพวกปลาดุกอยู่หลายพันธุ์ แต่ที่รู้จักและนิยมบริโภคกันมากมีอยู่ 4 พันธุ์ คือ ปลาดุกด้าน ปลาดุกอุย ปลาดุกบิ๊กอุย และปลาดุกเทศ ปลาดุกยักษ์หรือปลาดุกรัสเซีย
ปลาดุกด้าน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Clarias batrachus มีชื่อเรียกหลายชื่อ
เช่น ดุกเลา ดุกเอ็น ดุกเผือก พบทั่วไปทุกภาคของประเทศไทย เป็นปลาไม่มีเกล็ด
ไม่มีครีบไขมัน ฐานของครีบหลังยาวเกือบตลอด
ส่วนหลังมีครีบหลังครีบก้นและครีบหางแยกออกจากกัน ที่ครีบหลังไม่มีก้านครีบแข็ง
แต่มีครีบอ่อนจำนวนมาก มีพุ่มดอกไม้อยู่ในโพรงกะโหลก
ส่วนหัวเหนือช่องเหงือกทั้งสองเพื่อช่วยในการหายใจ และที่ครีบอกมีก้านครีบ( เงี่ยง ) แข็งข้างละ 1 อัน
ลักษณะกลมใหญ่ปลายแหลมเป็นหยักทั้งสองข้าง ลำต้นมีสีเทาปนดำหรือน้ำตาลปนดำ
บริเวณท้องมีสีค่อนข้างขาว ปลาดุกด้านเป็นปลาที่มี นิสัยดุ ว่องไว ไม่ชอบอยู่นิ่ง
ชอบดำผุดดำว่าย และชอบแซกมุดไปตามพื้นโคลนตม
เป็นปลาที่มีความอดทนต่อสิ่งแวดล้อมที่เลวได้ดี สามารถเลี้ยงรวมกันได้เป็นจำนวนมาก
เลี้ยงง่าย โตเร็ว อาศัยอยู่ได้ทั้งในน้ำไหลและน้ำนิ่ง

ปลาดุกบิ๊กอุยหรือปลาดุกอุยเทศ เป็นปลาดุกลูกผสม
เกิดจากการผสมเทียมข้ามพันธุ์ระหว่างพ่อพันธุ์ปลาดุกยักษ์กับแม่พันธุ์ปลาดุกอุยลักษณะนิสัยจึงอยู่กลางระหว่างปลาดุกสองพันธุ์นี้ ซึ่งมีลักษณะภายนอก
และนิสัยการกินอาหารคล้ายปลาดุกอุยมาก มีผิวค่อนข้างเหลือง โดยเฉพาะลำตัวและหางเห็นรอยจุดประสีขาวของปลาดุกอุยชัดเจนมาก แต่เมื่อโตขึ้นจุดประนี้จะหายไป ส่วนกะโหลกท้ายทอยจะแหลมเป็นหยัก 3 หยักเช่นเดียวกับปลาดุกยักษ์
หัวมีขนาดใหญ่ และคอดหางมีจุดประสีขาวเรียงตามขวางในระยะที่ปลายังเล็ก
เป็นปลาที่เลี้ยงง่าย ทนทานต่อโรคพยาธิและสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดีเช่นเดียวกับปลาดุกยักษ์
แต่มีเนื้อคล้าย ปลาดุกอุย
คือ เนื้ออกสีเหลือง นุ่ม รสชาติอร่อย กินอาหารได้แทบทุกชนิด
เลี้ยงได้น้ำหนักมากในระยะเวลาสั้น ทำให้เลี้ยงได้หลายรุ่นในรอบปี มีอัตราการเจริญเติบโตที่รวดเร็วมาก
ในช่วงระยะเวลาการเลี้ยงประมาณ 60 วันจะประมาณ 200-300 กรัมต่อตัว
หรือขนาด 4 - 5 ตัว ต่อกิโลกรัม

ปลาดุกอุย มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Clarias
macrocephalus เป็นปลาที่ไม่มีเกล็ด ลำตัวยาวเรียว
พบได้ตามแหล่งน้ำจืดทั่วไปๆ สีของลำตัวค่อนข้างเหลือง
มีจุดประตามด้านข้างของลำตัวประมาณ 9-10
แถบ แต่เมื่อโตขึ้นจะเลือนหายไป ผนังท้องมีสีขาวถึงเหลืองเฉพาะบริเวณอกถึงครีบท้อง
ส่วนหัวค่อนข้างทู่ ส่วนปลายกระดูกท้ายทอยป้านและโค้งมนมาก
กะโหลกจะลื่นมีรบุ๋มตรงกลางเล็กน้อย มีหนวด 4
คู่ โคนหนวดเล็ก ปากไม่ป้านค่อนข้างมน ครีบอกมีครีบแข็งข้างละ 1
ก้าน (เงี่ยง) มีลักษณะแหลมคมยื่นยาวเกินหรือเท่ากับครีบอ่อน
ครีบหลังมีก้านครีบอ่อน 47-52 ก้าน ครีบหางกลมไม่ใหญ่มากนัก
มีสีเทาปนดำ ครีหางไม่ติดกับฐานครีบหลังและครีบก้าน
ระยะจากปลายกระดูกท้ายทอยถึงจุดเริ่มต้นของครีบหลังประมาณ1 ใน 5
จากความยาวจากปลายสุดถึงปลายกระดูกท้ายทอย จำนวนกระดูกซี่กรองเหงือกประมาณ 32
ซี่ เนื้อมีสีเหลืองนุ่มมันมากปลาดุกอุยที่อยู่ตามแหล่งน้ำธรรมชาติ มีนิสัยชอบหาอาหารตามหน้าดิน
โดยใช้หนวดที่รับรู้ความรู้สึกได้ดีในการหาอาหารตามพื้นผิวหน้าดิน ปลาดุกอุยเป็นปลาที่ปราดเปรียวเคลื่อนไหวว่องไวมาก
ชอบกินอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ แต่เมื่อนำมาเลี้ยงในบ่อก็สามารถฝึกให้กินอาหารสำเร็จรูปที่มีผสมของ
รำข้าว ปลายข้าว กากถั่ว และปลายข้าวได้
ทั้งยังฝึกให้ขึ้นมากินอาหารบริเวณใกล้ผิวน้ำได้ด้วย
การเตรียมพันธ์ปลา
ควรเลือกลูกปลาทีมาจากแหล่งที่มีความน่าเชื่อถือ
เป็นอันดับแรก ส่วนการดูลูกปลานั้นให้เลือกที่มีความแข็งแรง วายน้ำได้เร็ว ลำตัว
หน่วด ครีบ หาง สมบูรณ์ ไม่ว่ายน้ำหงายท้องหรือ ตั้งฉากกับน้ำก่อนการปล่อยลูกปลาลงสู่บ่อควรเอาถุงปลาแช่น้ำในบ่
10-15 นาทีเพื่อเป็นการปรับอุณหภูมิให้เเท่ากัน ป้องกันการช็อคน้ำของลูกปลา
ขนาดลูกลูกปลาที่จะปล่อยควรมีขนาดเท่ากับนิ้วมือ
จะเพิ่มอัตราการรอดให้มากยิ่งขึ้นครับ ปริมาณที่เหมาะสมในการเลี้ยงปลาอยู่ที่ 80,000-100,000 ตัวต่อไร่
วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558
วิธีการเลี้ยงปลาดุก
การเตรียมบ่อดินเลี้ยงปลาดุก
- ใส่ปูนขาว เพื่อปรับสภาพของดินโดยใส่ปูนขาวหรือโดโลไมท์ในอัตราส่วน
60-100 กิโลกรัมต่อไร่
- ใส่เกลือโลยให้ทั่วบ่อและใส่โปยลงไปในบ่อด้วยเพื่อที่จะปรับสภาพน้าไม่ให้ดำและมีอุณภมิให้ปลาหายใจได้ดี
- ระบายน้ำเข้าบ่อโดยกรองไม่ให้ศัตรูของลูกปลาติดเข้ามากับน้ำให้ระดับน้ำลึก
30-40 เซนติเมตร หลังจากนั้นวันรุ่งขึ้นจึงปล่อยปลา และเพื่อให้ลูกปลามีอาหารกิน
ควรเติมไรแดงในอัตราไร่ละประมาณ 5 กิโลกรัม เพื่อเป็นอาหารแก่ลูกปลาหลังจากนั้น
จึงให้อาหารผสมแก่ลูกปลา ลูกปลาที่นำมาเลี้ยงควรดูว่ามีสภาพแข็งแรง
การปล่อยลูกปลาลงบ่อเลี้ยงจะต้องปรับสภาพอุณหภูมิของน้ำในถุงและน้ำในบ่อเท่าๆกันก่อน
วิธีการคือแช่ถุงบรรจุลูกปลาในน้ำประมาณ 20 นาที จึงปล่อยลูกปลา
เวลาที่เหมาะสมในการปล่อยลูกปลาควรเป็นตอนเช้าหรือตอนเย็นก็ได้ ปลาดุกเล็ก
- ใส่ปุ๋ยคอก ใช้ขี้วัวหรือขี้ไก่ก็ได้
เพื่อให้เกิดไรแดง อาหารตามธรรมชาติสำหรับลูกปลาในอัตราประมาณ 40-80 กิโลกรัมต่อ 1
ไร่
การเลือกสถานที่เลี้ยงปลาดุก
1. สถานที่ไม่เป็นที่ลุ่มหรือที่ดอนเกินไป
สามารถจัดระบบน้ำระบายน้ำเข้า-ออกได้ดี
2. สภาพดินควรเป็นดินเหนียวสามารถทำเป็นคันบ่อเก็บกักน้ำได้ดี
3. สภาพน้ำต้องเป็นน้ำสะอาดปราศจากสารพิษของโลหะหนักหรือยาฆ่าแมลง
หรือของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม
4. ทางคมนาคมสะดวก
จำนวนปลาและการใช้พื้นที่ในการลี้ยง
1. จำนวนปลา 20,000 ใช้พื้นที่ในการลี้ยงประมาณ
1ไร่ ความกว้าง 30เมตร ความยาว 30เมตร ความลึก 2 เมตร
- 2. จำนวนปลา 15,000 ตัว
ใช้พื้นที่ในการเลี้ยงประมาณความกว้าง 15 ความยาว 20 เมตร ความลึกเมตรครึ่ง
การให้อาหารปลาในแต่ละช่วง
ช่วงแรกคือการให้อาหารเม็ดเมื่อปล่อยลูกปลาดุกบิ๊กอุยลงในบ่อดินแล้ว อาหารที่ให้ในช่วงที่ลูกปลาดุกมีขนาดเล็ก(2-3 เซนติเมตร) ควรให้อาหารผสมคลุกน้ำปั้นเป็นก้อนให้ลูกปลากินโดยให้กินวันละ 2 ครั้ง หว่านให้กินทั่วบ่อโดยเฉพาะในบริเวณขอบบ่อ เมื่อลูกปลามีขนาดโตขึ้น จนมีขนาดความยาวประมาณ 5-7 เซนติเมตร ขึ้นไปจะให้อาหารเม็ดเพียงอย่างเดียว ช ช่วงที่สอง คืออาหารเสริมชนิดต่างๆได้ เช่นโครงกระดูกไก่ ไส้ไก่ เศษขนมปังทุกชนิดเนื้อ เศษเส้นก๋วยเตี๋ยว หรือเศษอาหารต่างๆเท่าที่สามารถหาได้นำมาบดรวมกัน แล้วผสมให้ปลากิน แต่การให้อาหารปลาประเภทนี้จะต้องระวังเรื่องคุณภาพของบ่อดินที่เลี้ยงด้วย เมื่อเลี้ยงปลาได้ประมาณ 3-4 เดือน ปลาจะมีขนาด 250-500 กรัมต่อตัว ซึ่งผลผลิตที่ได้จะประมาณ 10-14 ตันต่อไร่ อัตรารอดตายประมาณ 60-70 เปอร์เซ็นต์
ช่วงที่สาม คือการบดอาหารโครงไก่ส่วนผสมที่สําคัญก็จะมีขนมปัง รําข้าว มันไก่หรือมันเนื้อ เกลือ
อุปกรณ์ในการบดอาหารโครงไก่
- เครื่องบดโครง
- กระป๋องไว้สําหรับใส่โครงที่บดไว้แล้ว
- รถเข็นสําหรับขนส่งหรือซาเล็ง
ปริมาณในการบด
- ในช่วงที่ปลาได้ 1เดือนปริมาณในการบดอาหารให้ได้ 2 กระป๋อง 40 โหล โดยแบ่งเป็นโครงไก่ 20โหล ขนมปัง 15 โหล เกลือ 2-3 โหล
- ในช่วงที่ปลาได้ 2 เดือนปริมาณในการบดอาหารให้ได้ 4 กระป๋อง 50 โหล โดยแบ่งเป็นโครงไก่ 30 โหล ขนมปัง 20 โหล
- ในช่วงที่ปลาได้ 3 เดือนปริมาณในการบดอาหารให้ได้ 6 กระป๋อง 70 โหล โดยแบ่งเป็นโครงไก่ 40 โหล ขนมปัง 30 โหล
- ในช่วงที่ปลาได้ 4 เดือนปริมาณในการบดอาหารให้ได้ 7 กระป๋อง 100 โหล โดยแบ่งเป็นโครงไก่ 60 โหล ขนมปัง 35 โหล
- ในช่วงที่ปลาได้ 5 เดือนปริมาณในการบดอาหารให้ได้ 9 กระป๋อง 120 โหล โดยแบ่งเป็นโคงไก่ 80 โหล ขนมปัง 40 โหล
ขั้นตอนในการเลี้ยง
-อัตราปล่อยปลาดุกบิ๊กอุย ลูกปลาขนาด
2-3 เซนติเมตร ควรปล่อยในอัตราประมาณ 40-100 ตัวต่อตารางเมตร ซึ่งขึ้นอยู่กับกรรมวิธีในการเลี้ยง
คือชนิดของอาหารขนาดของบ่อและระบบการเปลี่ยนถ่ายน้ำปกติทั่วไป
อัตราปล่อยเลี้ยงประมาณ 50 ตัวต่อตารางเมตร
และเพื่อป้องกันโรคซึ่งอาจจะติดมากับลูกปลาใช้น้ำยาฟอร์มาลินใส่ในบ่อเลี้ยง
อัตราความเข้มข้นประมาณ 30 ส่วนในล้านส่วน (3 ลิตรต่อน้ำ 100 ตัน)
ในวันเดียวที่ปล่อยลูกปลาไม่จำเป็นต้องให้อาหารควรเริ่มให้อาหารในวันรุ่งขึ้น
การถ่ายเทน้ำ
เมื่อตอนเริ่มเลี้ยงใหม่ๆ
ระดับความลึกของน้ำในบ่อควรมีค่าประมาณ 30-40 เซนติเมตร
เมื่อลูกปลาเจริญเติบโตขึ้นในเดือนแรกจึงเพิ่มระดับน้ำสูงเป็นประมาณ 50-60
เซนติเมตร หลังจากย่างเข้าเดือนที่สอง ควรเพิ่มระดับให้สูงขึ้น 10
เซนติเมตรต่ออาทิตย์ จนระดับน้ำในบ่อมีความลึก1.20-1.50 เมตร
การถ่ายเทน้ำควรเริ่มตั้งแต่การเลี้ยงผ่านไปประมาณ 1 เดือน โดยถ่ายน้ำประมาณ 20
เปอร์เซ็นต์ ของน้ำในบ่อ 3 วันต่อครั้ง
หรือถ้าน้ำในบ่อเริ่มเสียจะต้องถ่ายน้ำมากกว่าปกติ
โรคของปลาดุกเลี้ยง
ในกรณีที่มีการป้องกันอย่างดีแล้วแต่ปลาก็ยังป่วยเป็นโรค
ซึ่งมักจะแสดงอาการให้เห็น โดยแบ่งอาการของโรคเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้
1. อาการ ติดเชื้อจากแบคทีเรีย
จะมีการตกเลือดมีแผลตามลำตัวและครีบ ครีบกร่อน ตาขุ่น หนวดหงิกกกหูบวม
มีน้ำในช่องท้อง กินอาหารน้อยลง หรือไม่กินอาหาร ลอยตัว
2.
อาการจากปรสิตเข้าเกาะตัวปลาจะมีเมือกมาก มีแผลตามลำตัว ตกเลือด ครีบเปื่อย
จุดสีขาวตามลำตัว สีตามลำตัวซีดหรือเข้มผิดปกติเหงือกซีดว่ายน้ำทุรนทุราย
ควงสว่านหรือไม่ตรงทิศทาง
3. อาการจากอาหารมีคุณภาพไม่เหมาะสม
คือ ขาดวิตามินซี กระโหลกร้าว บริเวณใต้คางจะมีการตกเลือด ตัวคด กินอาหารน้อยลง
ถ้าขาดวิตามินบีปลาจะว่ายน้ำตัวเกร็งและชักกระตุก
4. อาการจากคุณภาพน้ำในบ่อดิน ไม่ดี
ปลาจะว่ายน้ำขึ้นลงเร็วกว่าปกติลอยหัวครีบกร่อนเปื่อยหนวดหงิก เหงือกซีดและบวม
ลำตัวซีด ไม่กินอาหาร ท้องบวม มีแผลตามตัวอนึ่ง
ในการรักษาโรคปลาควรจะได้พิจารณาให้รอบคอบก่อนการตัดสินในการเลือกใช้ยาหรือสารเคมี
สาเหตุของโรค ระยะรักษา ค่าใช้จ่ายในการรักษา
5.การป้องกันโรคการเกิดโรคของปลาดุกที่เลี้ยงมักเกิดจากปัญหาคุณภาพของน้ำที่เลี้ยงไม่ดี
ซึ่งอาจเกิดจากการที่เราให้อาหารมากจนเกินไปจนเกินอาหารเหลือ และทำให้เน่าเสีย
เราสามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคได้โดยต้องหมั่นสังเกตว่า เมื่อปลาหยุดกินอาหารจะต้องหยุดให้อาหารทันที
เพราะเท่าที่สังเกตจะพบว่า ปลาดุกบิ๊กอุยมีนิสัยชอบกินอาหารที่ใหม่
แม้จะกินอิ่มแล้วถ้าให้อาหารใหม่อีกจะก็จะคายหรือสำรอกอาหารเก่าทิ้งและกินอาหารที่ให้ใหม่อีก
ซึ่งปริมาณอาหารที่ให้ไม่ควรเกิน ร้อยละ 5 ของน้ำหนักตัวปลายารักษาโรคสำหรับปลาที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน คือ ไซฟล็อกซีน 20 ใช้สำหรับป้องกันและรักษาโรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร
สัตว์น้ำใช้ 3 กรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม ผสมกันให้กินวันละ 2-3 มื้อ ติดต่อกัน 5
วัน
วิธีป้องกันการเกิดโรคในปลาดุกที่เลี้ยง
1.ควรเตรียมบ่อและน้ำตามวิธีการที่เหมาะสมก่อนปล่อยลูกปลา
2.
ซื้อพันธุ์ปลาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ว่าแข็งแรงและปราศจากโรค
3.
หมั่นตรวจดูอาการของปลาอย่างสม่ำเสมอถ้าเห็นอาการผิดปกติต้องรีบหาสาเหตุและแก้ไขโดยเร็ว
4. หลังจากปล่อยหลาเลี้ยงแล้ว 3 - 4
วัน ควรสาดน้ำยาฟอร์มาลิน 2 - 3 ลิตร/ปริมาตรน้ำ 100
ตันและหากปลาที่เลี้ยงเกิดโรคพยาธิภายนอกให้ แก้ไขโดยสาดน้ำยาฟอร์มาลินในอัตรา 4 - 5ลิตร/ปริมาตร น้ำ 100 ตัน
5.
เปลี่ยนถ่ายน้ำจากระดับก้นบ่ออย่างสม่ำเสมอ
6. อย่าให้อาหารจนเหลือ
ข้อแนะนำ ควรมีการทำร่มเงาให้เป็นที่พักจากความร้อนของลูกปลา
เพื่อลดการตายของลูกปลาจากความร้อนครับ
การเลือกอาหารปลา
ถือเป็นเรื่องที่สำคัญลำดับต้นๆ ของการเลี้ยงปลาดุก เพราะต้นทุนกว่า
80% ของการเลี้ยงปลาดุกอยู่ที่อาหารครับ
เราจึงต้องพิถีพิถันในการเลือกอาหารปลาให้มาก ไม่ว่าจะเป็นสีสัน กลิ่น ขนาดของเม็ด
การลอยตัวในน้ำ ล้วนต้องเอาใจใส่มากๆเลย
1. เลือกอาหารให้เหมาะกับอายุของปลาด้วย หากเลือกไม่เหมาะสม
จะทำให้ปลากินอาหารไม่ได้ หรือ การให้อาหารไม่เพียงพอครับ
- ลูกปลาดุกขนาด 1-4 เซ็นติเมตร เลือกใช้อาหารปลาดุกขนาดเล็กพิเศษ
- ลูกปลาดุกขนาด 3 เซ็นติเมตร เลือกใช้อาหารสำหรับปลาดุก 1-3 เดือน
2. ขนาดของเม็ดต้องใกล้เคียงกัน ไม่มีกลิ่นหืน ไม่เป็นฝุ่น
3. การลอยตัวในน้ำ ไม่ควรจมลมเร็วเกินไปครับ
เพราะนั่นหมายถึงอาหารปลาอาจจะมีความชื้นมากเกินไป
4. ระวังอาหารปลาที่ขึ้นราด้วยนะครับ
เพราะจะเป็นสาเหตุให้ลูกปลาตายได้จำนวนมากครับ
ข้อแนะนำ ก่อนการเริ่มปล่อยปลาลงสู่บ่อ ควรมีการวัดอัตราการกินอาหารของลูกปลา
เพื่อไม่ให้อาหารมากหรือน้อยเกินไป ซึ่งจะทำให้ผลกำไรน้อยลงครับ
การนำปลาดุกที่เลี้ยงไปขายในตลาด
ปลาดุกเป็นปลาเศรษฐกิจที่เป็นที่นิยมเพาะเลี้ยงอย่างต่อเนื่องมาตลอด
ทั้งในแง่ของปลาเนื้อและปลาแปรรูป ในปัจจุบันมีผู้ที่ทำการเลี้ยงปลาดุกมากขึ้น
ทำให้ต้นทุนการเลี้ยงไม่สูงมากนัก และทำให้มีปลาเข้าตลาดได้อยู่ตลอดเวลา
อีกทั้งยังได้ปลาที่ดี มีรสชาติอร่อย ขนาดของปลาได้มาตรฐาน
ทำให้ผู้บริโภคซื้อปลาที่ราคาไม่แพง
แนวโน้มตลาดทิศทางของการเพาะเลี้ยงปลาดุกจึงเป็นไปอย่างสวยงาม
เมื่อทำการเลี้ยงปลาดุกไปแล้วประมาณ 5 เดือน ก็ถึงเวลาจับปลาขาย ปลาตามท้องตลาดจะเรียกชื่อแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับขนาด ส่วนมากจะนิยมเรียกตามขนาดอยู่ 3 ประเภท คือ ปลาขนาด 3-5 ตัวต่อกิโลกรัมจะเรียกกันว่าปลาย่าง (เป็นขนาดปลาที่ลูกค้าต้องการมากที่สุด) ปลาขนาด 2 ตัวต่อกิโลกรัม จะเรียกว่าปลาโบ้ แต่ไม่เป็นที่นิยมมากเท่าไร เพราะมีขนาดใหญ่เกินความต้องการ และขนาดครึ่งกิโลกรัมขึ้นไปจะเรียกปลาหั่น ซึ่งราคาปลาไม่มีผู้ใดกำหนดจะเป็นไปตามกลไกตลาด ขึ้นอยู่กับมีผลผลิตในตลาดมากหรือน้อย ถ้าปลาในตลาดมีมากราคาก็จะต่ำ แต่ถ้าปลาในตลาดมีน้อยราคาก็จะสูง และที่สำคัญที่สุดคือความต้องการของผู้บริโภค ว่ามีมากหรือน้อยเพียงใดด้วย แต่ปัจจุบันมีผู้นิยมบริโภคปลาดุกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เทคนิคการเตรียมจับปลาดุกขาย ให้ได้ราคาและกำจัดกลิ่นคาวปลา งดให้อาหาร 3 วัน ก่อนทำการจับปลา จากนั้นลดน้ำในบ่อให้เหลือประมาณ 80 - 90 เซนติเมตร ก่อนจับปลา 2 วัน แล้วใช้เกลือหว่านลงไปในบ่อ บ่อพื้นที่ 1 ไร่ ใช้เกลือ 30 กิโลกรัม โดยหว่านก่อนจับปลา 1วันความเค็มของเกลือ จะช่วยลดกลิ่นเหม็นคาวจากอาหาร และโคลนจากบ่อ ที่สำคัญจะทำให้ปลามีน้ำหนักดี ตัวแน่น หนังไม่ย่น และขายได้ราคาดี
การตลาด
การตลาด
เป็นปัญหาใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อการเลี้ยงปลามากที่สุด
ตลาดปลาดุกนั้นเป็นในลักษณะที่มีคนกลางเป็นผู้ตระเวนจับปลาโดยตรงจากบ่อ
เลี้ยงแล้วนำไปส่งพ่อค้าขายปลีดตามที่ต่างๆ ตลาดใหญ่จะอยู่ที่จังหวัดอ่างทอง
อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา กรุงเทพฯ ภาคอีสาน ภาคเหนือ ผู้จับปลามี
บทบาทค่อนข้างสูงในการกำหนดราคาปลาร่วมกับความต้องการของตลาด
ราคาปลาดุกเปลี่ยนแปลงค่อนข้างรวดเร็ว ขึ้นกับปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาดและฤดู กาล
โดยทั่วไปพบว่าช่วงเดือนกุมภาพันธ์ -เดือนเมษายน
ราคาปลาดุกมักจะราคาถูกเนื่องจากมีปลาธรรมชาติออกสู่ตลาดมาก
การเพิ่มปริมาณและมูลค่าก็คือการ ขยายตลาดต่างประเทศ
การถนอมและแปรรูปในลักษณะผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ซึ่งเป็นการกระจายผลผลิตอีกทางหนึ่ง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)