- เริ่มต้นจากการตากบ่อ จะต้องตากบ่อให้แห้ง ปรับสภาพพื้นบ่อให้สะอาด
- ใส่ปูนขาว เพื่อปรับสภาพของดินโดยใส่ปูนขาวหรือโดโลไมท์ในอัตราส่วน
60-100 กิโลกรัมต่อไร่
- ใส่เกลือโลยให้ทั่วบ่อและใส่โปยลงไปในบ่อด้วยเพื่อที่จะปรับสภาพน้าไม่ให้ดำและมีอุณภมิให้ปลาหายใจได้ดี
- ระบายน้ำเข้าบ่อโดยกรองไม่ให้ศัตรูของลูกปลาติดเข้ามากับน้ำให้ระดับน้ำลึก
30-40 เซนติเมตร หลังจากนั้นวันรุ่งขึ้นจึงปล่อยปลา และเพื่อให้ลูกปลามีอาหารกิน
ควรเติมไรแดงในอัตราไร่ละประมาณ 5 กิโลกรัม เพื่อเป็นอาหารแก่ลูกปลาหลังจากนั้น
จึงให้อาหารผสมแก่ลูกปลา ลูกปลาที่นำมาเลี้ยงควรดูว่ามีสภาพแข็งแรง
การปล่อยลูกปลาลงบ่อเลี้ยงจะต้องปรับสภาพอุณหภูมิของน้ำในถุงและน้ำในบ่อเท่าๆกันก่อน
วิธีการคือแช่ถุงบรรจุลูกปลาในน้ำประมาณ 20 นาที จึงปล่อยลูกปลา
เวลาที่เหมาะสมในการปล่อยลูกปลาควรเป็นตอนเช้าหรือตอนเย็นก็ได้ ปลาดุกเล็ก
-
ใส่ปุ๋ยคอก ใช้ขี้วัวหรือขี้ไก่ก็ได้
เพื่อให้เกิดไรแดง อาหารตามธรรมชาติสำหรับลูกปลาในอัตราประมาณ 40-80 กิโลกรัมต่อ 1
ไร่
การเลือกสถานที่เลี้ยงปลาดุก
1. สถานที่ไม่เป็นที่ลุ่มหรือที่ดอนเกินไป
สามารถจัดระบบน้ำระบายน้ำเข้า-ออกได้ดี
2. สภาพดินควรเป็นดินเหนียวสามารถทำเป็นคันบ่อเก็บกักน้ำได้ดี
3. สภาพน้ำต้องเป็นน้ำสะอาดปราศจากสารพิษของโลหะหนักหรือยาฆ่าแมลง
หรือของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม
4. ทางคมนาคมสะดวก
จำนวนปลาและการใช้พื้นที่ในการลี้ยง
1. จำนวนปลา 20,000 ใช้พื้นที่ในการลี้ยงประมาณ
1ไร่ ความกว้าง 30เมตร ความยาว 30เมตร ความลึก 2 เมตร
- 2. จำนวนปลา 15,000 ตัว
ใช้พื้นที่ในการเลี้ยงประมาณความกว้าง 15 ความยาว 20 เมตร ความลึกเมตรครึ่ง
การให้อาหารปลาในแต่ละช่วง
ช่วงแรกคือการให้อาหารเม็ดเมื่อปล่อยลูกปลาดุกบิ๊กอุยลงในบ่อดินแล้ว
อาหารที่ให้ในช่วงที่ลูกปลาดุกมีขนาดเล็ก(2-3 เซนติเมตร)
ควรให้อาหารผสมคลุกน้ำปั้นเป็นก้อนให้ลูกปลากินโดยให้กินวันละ 2 ครั้ง
หว่านให้กินทั่วบ่อโดยเฉพาะในบริเวณขอบบ่อ เมื่อลูกปลามีขนาดโตขึ้น จนมีขนาดความยาวประมาณ
5-7 เซนติเมตร ขึ้นไปจะให้อาหารเม็ดเพียงอย่างเดียว ช ช่วงที่สอง คืออาหารเสริมชนิดต่างๆได้
เช่นโครงกระดูกไก่ ไส้ไก่ เศษขนมปังทุกชนิดเนื้อ เศษเส้นก๋วยเตี๋ยว
หรือเศษอาหารต่างๆเท่าที่สามารถหาได้นำมาบดรวมกัน แล้วผสมให้ปลากิน
แต่การให้อาหารปลาประเภทนี้จะต้องระวังเรื่องคุณภาพของบ่อดินที่เลี้ยงด้วย
เมื่อเลี้ยงปลาได้ประมาณ 3-4 เดือน ปลาจะมีขนาด 250-500 กรัมต่อตัว
ซึ่งผลผลิตที่ได้จะประมาณ 10-14 ตันต่อไร่ อัตรารอดตายประมาณ 60-70 เปอร์เซ็นต์
ช่วงที่สาม คือการบดอาหารโครงไก่ส่วนผสมที่สําคัญก็จะมีขนมปัง รําข้าว มันไก่หรือมันเนื้อ เกลือ
อุปกรณ์ในการบดอาหารโครงไก่
- เครื่องบดโครง
- กระป๋องไว้สําหรับใส่โครงที่บดไว้แล้ว
- รถเข็นสําหรับขนส่งหรือซาเล็ง
ปริมาณในการบด
- ในช่วงที่ปลาได้ 1เดือนปริมาณในการบดอาหารให้ได้ 2 กระป๋อง 40 โหล โดยแบ่งเป็นโครงไก่ 20โหล ขนมปัง 15 โหล เกลือ 2-3 โหล
- ในช่วงที่ปลาได้ 2 เดือนปริมาณในการบดอาหารให้ได้ 4 กระป๋อง 50 โหล โดยแบ่งเป็นโครงไก่ 30 โหล ขนมปัง 20 โหล
- ในช่วงที่ปลาได้ 3 เดือนปริมาณในการบดอาหารให้ได้ 6 กระป๋อง 70 โหล โดยแบ่งเป็นโครงไก่ 40 โหล ขนมปัง 30 โหล
- ในช่วงที่ปลาได้ 4 เดือนปริมาณในการบดอาหารให้ได้ 7 กระป๋อง 100 โหล โดยแบ่งเป็นโครงไก่ 60 โหล ขนมปัง 35 โหล
- ในช่วงที่ปลาได้ 5 เดือนปริมาณในการบดอาหารให้ได้ 9 กระป๋อง 120 โหล โดยแบ่งเป็นโคงไก่ 80 โหล ขนมปัง 40 โหล
ขั้นตอนในการเลี้ยง
-อัตราปล่อยปลาดุกบิ๊กอุย ลูกปลาขนาด
2-3 เซนติเมตร ควรปล่อยในอัตราประมาณ 40-100 ตัวต่อตารางเมตร ซึ่งขึ้นอยู่กับกรรมวิธีในการเลี้ยง
คือชนิดของอาหารขนาดของบ่อและระบบการเปลี่ยนถ่ายน้ำปกติทั่วไป
อัตราปล่อยเลี้ยงประมาณ 50 ตัวต่อตารางเมตร
และเพื่อป้องกันโรคซึ่งอาจจะติดมากับลูกปลาใช้น้ำยาฟอร์มาลินใส่ในบ่อเลี้ยง
อัตราความเข้มข้นประมาณ 30 ส่วนในล้านส่วน (3 ลิตรต่อน้ำ 100 ตัน)
ในวันเดียวที่ปล่อยลูกปลาไม่จำเป็นต้องให้อาหารควรเริ่มให้อาหารในวันรุ่งขึ้น
การถ่ายเทน้ำ
เมื่อตอนเริ่มเลี้ยงใหม่ๆ
ระดับความลึกของน้ำในบ่อควรมีค่าประมาณ 30-40 เซนติเมตร
เมื่อลูกปลาเจริญเติบโตขึ้นในเดือนแรกจึงเพิ่มระดับน้ำสูงเป็นประมาณ 50-60
เซนติเมตร หลังจากย่างเข้าเดือนที่สอง ควรเพิ่มระดับให้สูงขึ้น 10
เซนติเมตรต่ออาทิตย์ จนระดับน้ำในบ่อมีความลึก1.20-1.50 เมตร
การถ่ายเทน้ำควรเริ่มตั้งแต่การเลี้ยงผ่านไปประมาณ 1 เดือน โดยถ่ายน้ำประมาณ 20
เปอร์เซ็นต์ ของน้ำในบ่อ 3 วันต่อครั้ง
หรือถ้าน้ำในบ่อเริ่มเสียจะต้องถ่ายน้ำมากกว่าปกติ
โรคของปลาดุกเลี้ยง
ในกรณีที่มีการป้องกันอย่างดีแล้วแต่ปลาก็ยังป่วยเป็นโรค
ซึ่งมักจะแสดงอาการให้เห็น โดยแบ่งอาการของโรคเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้
1. อาการ ติดเชื้อจากแบคทีเรีย
จะมีการตกเลือดมีแผลตามลำตัวและครีบ ครีบกร่อน ตาขุ่น หนวดหงิกกกหูบวม
มีน้ำในช่องท้อง กินอาหารน้อยลง หรือไม่กินอาหาร ลอยตัว
2.
อาการจากปรสิตเข้าเกาะตัวปลาจะมีเมือกมาก มีแผลตามลำตัว ตกเลือด ครีบเปื่อย
จุดสีขาวตามลำตัว สีตามลำตัวซีดหรือเข้มผิดปกติเหงือกซีดว่ายน้ำทุรนทุราย
ควงสว่านหรือไม่ตรงทิศทาง
3. อาการจากอาหารมีคุณภาพไม่เหมาะสม
คือ ขาดวิตามินซี กระโหลกร้าว บริเวณใต้คางจะมีการตกเลือด ตัวคด กินอาหารน้อยลง
ถ้าขาดวิตามินบีปลาจะว่ายน้ำตัวเกร็งและชักกระตุก
4. อาการจากคุณภาพน้ำในบ่อดิน ไม่ดี
ปลาจะว่ายน้ำขึ้นลงเร็วกว่าปกติลอยหัวครีบกร่อนเปื่อยหนวดหงิก เหงือกซีดและบวม
ลำตัวซีด ไม่กินอาหาร ท้องบวม มีแผลตามตัวอนึ่ง
ในการรักษาโรคปลาควรจะได้พิจารณาให้รอบคอบก่อนการตัดสินในการเลือกใช้ยาหรือสารเคมี
สาเหตุของโรค ระยะรักษา ค่าใช้จ่ายในการรักษา
5.การป้องกันโรคการเกิดโรคของปลาดุกที่เลี้ยงมักเกิดจากปัญหาคุณภาพของน้ำที่เลี้ยงไม่ดี
ซึ่งอาจเกิดจากการที่เราให้อาหารมากจนเกินไปจนเกินอาหารเหลือ และทำให้เน่าเสีย
เราสามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคได้โดยต้องหมั่นสังเกตว่า เมื่อปลาหยุดกินอาหารจะต้องหยุดให้อาหารทันที
เพราะเท่าที่สังเกตจะพบว่า ปลาดุกบิ๊กอุยมีนิสัยชอบกินอาหารที่ใหม่
แม้จะกินอิ่มแล้วถ้าให้อาหารใหม่อีกจะก็จะคายหรือสำรอกอาหารเก่าทิ้งและกินอาหารที่ให้ใหม่อีก
ซึ่งปริมาณอาหารที่ให้ไม่ควรเกิน ร้อยละ 5 ของน้ำหนักตัวปลายารักษาโรคสำหรับปลาที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน คือ ไซฟล็อกซีน 20 ใช้สำหรับป้องกันและรักษาโรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร
สัตว์น้ำใช้ 3 กรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม ผสมกันให้กินวันละ 2-3 มื้อ ติดต่อกัน 5
วัน
วิธีป้องกันการเกิดโรคในปลาดุกที่เลี้ยง
1.ควรเตรียมบ่อและน้ำตามวิธีการที่เหมาะสมก่อนปล่อยลูกปลา
2.
ซื้อพันธุ์ปลาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ว่าแข็งแรงและปราศจากโรค
3.
หมั่นตรวจดูอาการของปลาอย่างสม่ำเสมอถ้าเห็นอาการผิดปกติต้องรีบหาสาเหตุและแก้ไขโดยเร็ว
4. หลังจากปล่อยหลาเลี้ยงแล้ว 3 - 4
วัน ควรสาดน้ำยาฟอร์มาลิน 2 - 3 ลิตร/ปริมาตรน้ำ 100
ตันและหากปลาที่เลี้ยงเกิดโรคพยาธิภายนอกให้ แก้ไขโดยสาดน้ำยาฟอร์มาลินในอัตรา 4 - 5ลิตร/ปริมาตร น้ำ 100 ตัน
5.
เปลี่ยนถ่ายน้ำจากระดับก้นบ่ออย่างสม่ำเสมอ
6. อย่าให้อาหารจนเหลือ
ข้อแนะนำ ควรมีการทำร่มเงาให้เป็นที่พักจากความร้อนของลูกปลา
เพื่อลดการตายของลูกปลาจากความร้อนครับ
การเลือกอาหารปลา
ถือเป็นเรื่องที่สำคัญลำดับต้นๆ ของการเลี้ยงปลาดุก เพราะต้นทุนกว่า
80% ของการเลี้ยงปลาดุกอยู่ที่อาหารครับ
เราจึงต้องพิถีพิถันในการเลือกอาหารปลาให้มาก ไม่ว่าจะเป็นสีสัน กลิ่น ขนาดของเม็ด
การลอยตัวในน้ำ ล้วนต้องเอาใจใส่มากๆเลย
1. เลือกอาหารให้เหมาะกับอายุของปลาด้วย หากเลือกไม่เหมาะสม
จะทำให้ปลากินอาหารไม่ได้ หรือ การให้อาหารไม่เพียงพอครับ
- ลูกปลาดุกขนาด 1-4 เซ็นติเมตร เลือกใช้อาหารปลาดุกขนาดเล็กพิเศษ
- ลูกปลาดุกขนาด 3 เซ็นติเมตร เลือกใช้อาหารสำหรับปลาดุก 1-3 เดือน
2. ขนาดของเม็ดต้องใกล้เคียงกัน ไม่มีกลิ่นหืน ไม่เป็นฝุ่น
3. การลอยตัวในน้ำ ไม่ควรจมลมเร็วเกินไปครับ
เพราะนั่นหมายถึงอาหารปลาอาจจะมีความชื้นมากเกินไป
4. ระวังอาหารปลาที่ขึ้นราด้วยนะครับ
เพราะจะเป็นสาเหตุให้ลูกปลาตายได้จำนวนมากครับ
ข้อแนะนำ ก่อนการเริ่มปล่อยปลาลงสู่บ่อ ควรมีการวัดอัตราการกินอาหารของลูกปลา
เพื่อไม่ให้อาหารมากหรือน้อยเกินไป ซึ่งจะทำให้ผลกำไรน้อยลงครับ
การนำปลาดุกที่เลี้ยงไปขายในตลาด
ปลาดุกเป็นปลาเศรษฐกิจที่เป็นที่นิยมเพาะเลี้ยงอย่างต่อเนื่องมาตลอด
ทั้งในแง่ของปลาเนื้อและปลาแปรรูป ในปัจจุบันมีผู้ที่ทำการเลี้ยงปลาดุกมากขึ้น
ทำให้ต้นทุนการเลี้ยงไม่สูงมากนัก และทำให้มีปลาเข้าตลาดได้อยู่ตลอดเวลา
อีกทั้งยังได้ปลาที่ดี มีรสชาติอร่อย ขนาดของปลาได้มาตรฐาน
ทำให้ผู้บริโภคซื้อปลาที่ราคาไม่แพง
แนวโน้มตลาดทิศทางของการเพาะเลี้ยงปลาดุกจึงเป็นไปอย่างสวยงาม
เมื่อทำการเลี้ยงปลาดุกไปแล้วประมาณ 5 เดือน ก็ถึงเวลาจับปลาขาย
ปลาตามท้องตลาดจะเรียกชื่อแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับขนาด
ส่วนมากจะนิยมเรียกตามขนาดอยู่ 3 ประเภท คือ ปลาขนาด 3-5
ตัวต่อกิโลกรัมจะเรียกกันว่าปลาย่าง (เป็นขนาดปลาที่ลูกค้าต้องการมากที่สุด)
ปลาขนาด 2 ตัวต่อกิโลกรัม จะเรียกว่าปลาโบ้ แต่ไม่เป็นที่นิยมมากเท่าไร
เพราะมีขนาดใหญ่เกินความต้องการ และขนาดครึ่งกิโลกรัมขึ้นไปจะเรียกปลาหั่น
ซึ่งราคาปลาไม่มีผู้ใดกำหนดจะเป็นไปตามกลไกตลาด
ขึ้นอยู่กับมีผลผลิตในตลาดมากหรือน้อย ถ้าปลาในตลาดมีมากราคาก็จะต่ำ
แต่ถ้าปลาในตลาดมีน้อยราคาก็จะสูง และที่สำคัญที่สุดคือความต้องการของผู้บริโภค
ว่ามีมากหรือน้อยเพียงใดด้วย แต่ปัจจุบันมีผู้นิยมบริโภคปลาดุกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เทคนิคการเตรียมจับปลาดุกขาย ให้ได้ราคาและกำจัดกลิ่นคาวปลา งดให้อาหาร
3 วัน ก่อนทำการจับปลา จากนั้นลดน้ำในบ่อให้เหลือประมาณ 80 - 90 เซนติเมตร
ก่อนจับปลา 2 วัน แล้วใช้เกลือหว่านลงไปในบ่อ บ่อพื้นที่ 1 ไร่ ใช้เกลือ 30
กิโลกรัม โดยหว่านก่อนจับปลา 1วันความเค็มของเกลือ จะช่วยลดกลิ่นเหม็นคาวจากอาหาร และโคลนจากบ่อ
ที่สำคัญจะทำให้ปลามีน้ำหนักดี ตัวแน่น หนังไม่ย่น และขายได้ราคาดี
การตลาด
การตลาด
เป็นปัญหาใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อการเลี้ยงปลามากที่สุด
ตลาดปลาดุกนั้นเป็นในลักษณะที่มีคนกลางเป็นผู้ตระเวนจับปลาโดยตรงจากบ่อ
เลี้ยงแล้วนำไปส่งพ่อค้าขายปลีดตามที่ต่างๆ ตลาดใหญ่จะอยู่ที่จังหวัดอ่างทอง
อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา กรุงเทพฯ ภาคอีสาน ภาคเหนือ ผู้จับปลามี
บทบาทค่อนข้างสูงในการกำหนดราคาปลาร่วมกับความต้องการของตลาด
ราคาปลาดุกเปลี่ยนแปลงค่อนข้างรวดเร็ว ขึ้นกับปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาดและฤดู กาล
โดยทั่วไปพบว่าช่วงเดือนกุมภาพันธ์ -เดือนเมษายน
ราคาปลาดุกมักจะราคาถูกเนื่องจากมีปลาธรรมชาติออกสู่ตลาดมาก
การเพิ่มปริมาณและมูลค่าก็คือการ ขยายตลาดต่างประเทศ
การถนอมและแปรรูปในลักษณะผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ซึ่งเป็นการกระจายผลผลิตอีกทางหนึ่ง